เริม (Herpes) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่ติดเชื้อ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ การจูบ หรือการสัมผัสกับของเหลวจากแผล โรคนี้มีสาเหตุหลักมาจากไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งมีอยู่สองชนิดหลัก ได้แก่ HSV-1 ที่มักทำให้เกิดเริมที่ปาก และ HSV-2 ที่มักทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าไวรัสเริมสามารถแพร่กระจายได้ผ่านการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว หรือเครื่องมือแต่งหน้า การป้องกันการแพร่เชื้อจึงไม่ได้จำกัดเพียงแค่การป้องกันทางเพศสัมพันธ์ แต่ยังต้องคำนึงถึงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นด้วย บทความนี้จะอธิบายวิธีการแพร่กระจายของเริมผ่านการใช้สิ่งของร่วมกัน พร้อมกับวิธีการป้องกันและดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่และรับเชื้อ
ทำความรู้จักกับไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus)
ไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (HSV) แบ่งออกเป็นสองชนิดหลัก คือ:
HSV-1: มักทำให้เกิดแผลเริมที่ปาก (Cold sores) หรือบริเวณรอบๆ ปาก แต่ในบางกรณีอาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะเพศได้หากมีการสัมผัสทางปากในขณะมีเพศสัมพันธ์
HSV-2: มักทำให้เกิดแผลเริมที่อวัยวะเพศ และมักแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์
แม้ว่าไวรัสทั้งสองชนิดนี้จะมีแหล่งที่มาและการแพร่กระจายที่คล้ายกัน แต่จุดที่ไวรัสชอบอาศัยและแสดงอาการจะแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทั้ง HSV-1 และ HSV-2 สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือตุ่มน้ำที่ติดเชื้อ ซึ่งของเหลวจากแผลหรือตุ่มน้ำนี้เป็นตัวนำเชื้อที่สำคัญ
การแพร่เชื้อไวรัสเริมผ่านการใช้สิ่งของร่วมกัน
แม้ว่าเริมจะเป็นโรคที่แพร่กระจายได้ง่ายที่สุดผ่านการสัมผัสทางผิวหนังหรือการมีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกันก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ โดยเฉพาะสิ่งของที่สัมผัสกับผิวหนังหรือของเหลวในร่างกายโดยตรง เช่น:
1. แปรงสีฟันและเครื่องมือดูแลช่องปาก
แปรงสีฟัน เป็นสิ่งของที่ต้องระมัดระวังในการใช้ร่วมกัน เนื่องจากแปรงสีฟันสามารถเก็บคราบน้ำลายและของเหลวจากแผลที่ปากได้ แม้ว่าคุณอาจไม่ได้เห็นแผลอย่างชัดเจน แต่ไวรัสยังสามารถซ่อนอยู่ในน้ำลายหรือคราบที่ติดอยู่บนแปรงสีฟัน หากมีการใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ HSV-1 การสัมผัสกับไวรัสที่อยู่บนแปรงอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
นอกจากนี้ เครื่องมือดูแลช่องปากอื่นๆ เช่น ที่ขูดลิ้น หรือ น้ำยาบ้วนปาก ที่ใช้ร่วมกันก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เนื่องจากไวรัส HSV สามารถอาศัยอยู่ในน้ำลายและคราบอาหารที่ตกค้างในปาก
2. ผ้าเช็ดตัวและผ้าเช็ดหน้า
ผ้าเช็ดตัวและผ้าเช็ดหน้าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ไวรัสเริมแพร่กระจายได้ง่าย เนื่องจากผ้าสามารถซึมซับน้ำลาย ของเหลวจากแผล หรือน้ำที่เหลืออยู่บนผิวหลังการล้างหน้า หากผู้ติดเชื้อใช้ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าเช็ดหน้าที่มีการสัมผัสกับแผลหรือบริเวณที่ติดเชื้อ แล้วผู้อื่นมาใช้ผ้าผืนเดียวกันโดยไม่รู้ตัว การสัมผัสนี้อาจทำให้เกิดการแพร่กระจายของไวรัสไปยังผู้ที่ใช้ผ้าร่วมกัน
3. เครื่องสำอางและอุปกรณ์แต่งหน้า
การใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะลิปสติก ลิปมัน หรือลิปกลอสที่สัมผัสกับริมฝีปากโดยตรง อาจทำให้ไวรัสเริมที่ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์แพร่กระจายได้ เครื่องสำอางประเภทนี้มักเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและไวรัสหากไม่มีการรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสม
แปรงแต่งหน้า เช่น แปรงทาปาก หรือแปรงทาหน้าก็เป็นอุปกรณ์ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกัน เนื่องจากแปรงแต่งหน้าสามารถเก็บคราบน้ำลาย เหงื่อ หรือของเหลวจากแผลเริมได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อหากแปรงสัมผัสกับผิวหนังที่อ่อนแอหรือบาดเจ็บ
4. มีดโกนหนวดหรือมีดโกนขน
มีดโกนหนวดหรือมีดโกนขนเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากมีดโกนอาจสัมผัสกับแผลหรือรอยถลอกบนผิวหนัง หากผู้ที่ติดเชื้อเริมใช้มีดโกนที่สัมผัสกับแผลหรือบริเวณที่ติดเชื้อ แล้วนำมีดโกนนั้นมาใช้ซ้ำกับผู้อื่น การแพร่เชื้อไวรัส HSV ก็อาจเกิดขึ้นได้
5. อุปกรณ์การดื่มและกินอาหาร
แก้วน้ำ หรือ ช้อนส้อม ที่ใช้ร่วมกันสามารถเป็นแหล่งแพร่เชื้อไวรัสเริมได้เช่นกัน เนื่องจากของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำลาย หรือน้ำจากแผลที่ปากสามารถติดอยู่บนแก้วหรือช้อน หากมีการใช้ร่วมกับผู้ติดเชื้อ การสัมผัสกับไวรัสที่เหลืออยู่บนสิ่งของเหล่านี้อาจทำให้ติดเชื้อได้
6. อุปกรณ์อาบน้ำและของใช้ในห้องน้ำ
อุปกรณ์อาบน้ำ เช่น ฟองน้ำอาบน้ำ หรือ หินขัดตัว ก็มีโอกาสแพร่เชื้อได้ หากใช้ร่วมกับผู้ติดเชื้อที่มีแผลหรือตุ่มน้ำจากเริม น้ำและความชื้นที่อยู่ในห้องน้ำอาจทำให้ไวรัสยังคงอยู่บนผิวสิ่งของเป็นระยะเวลาหนึ่ง และแพร่กระจายไปยังผู้อื่นที่ใช้ต่อ
ระยะเวลาที่ไวรัสเริมสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิว
ไวรัส HSV มีความสามารถในการอยู่รอดบนพื้นผิววัตถุเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยทั่วไปไวรัสจะมีชีวิตอยู่นอกผิวหนังได้ประมาณ ไม่กี่ชั่วโมงถึง 24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และพื้นผิวที่ไวรัสติดอยู่ หากไวรัสติดอยู่บนพื้นผิวที่ชื้นหรือมีน้ำอยู่ เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือฟองน้ำอาบน้ำ ไวรัสอาจมีชีวิตอยู่นานขึ้น
การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิววัตถุ เช่น การซักผ้าเช็ดตัว การทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าหรืออุปกรณ์อาบน้ำเป็นประจำ จึงมีความสำคัญในการลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัส
วิธีป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเริมผ่านการใช้สิ่งของร่วมกัน
แม้ว่าการใช้สิ่งของร่วมกันจะเป็นสิ่งที่อาจหลีกเลี่ยงได้ยากในชีวิตประจำวัน แต่เราสามารถปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเริมได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
1. ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
สิ่งของที่สัมผัสกับผิวหนังและของเหลวในร่างกาย เช่น แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว เครื่องสำอาง หรือมีดโกน ควรเป็นสิ่งของที่ใช้ส่วนตัวเท่านั้น ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น แม้จะดูเหมือนไม่มีอาการติดเชื้อก็ตาม เนื่องจากไวรัส HSV สามารถแพร่กระจายได้แม้ในช่วงที่ไม่มีแผลหรืออาการ
2. ทำความสะอาดสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน
สำหรับสิ่งของที่อาจมีการใช้ร่วมกันในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม หรืออุปกรณ์อาบน้ำ ควรทำความสะอาดด้วยน้ำร้อนและสบู่ทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสที่อาจติดอยู่บนพื้นผิว
การซักผ้าเช็ดตัว: ควรซักผ้าเช็ดตัวและผ้าเช็ดหน้าด้วยน้ำร้อนและผงซักฟอกที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ
การทำความสะอาดเครื่องสำอางและอุปกรณ์แต่งหน้า: สำหรับอุปกรณ์แต่งหน้า ควรล้างแปรงแต่งหน้าหรืออุปกรณ์อื่นๆ ด้วยน้ำสบู่อุ่นและปล่อยให้แห้งสนิทก่อนใช้งานอีกครั้ง
3. เก็บสิ่งของส่วนตัวให้เป็นระเบียบ
เพื่อป้องกันการใช้สิ่งของร่วมกันโดยไม่ตั้งใจ ควรเก็บสิ่งของส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว หรือเครื่องสำอางไว้ในที่เฉพาะของตัวเอง การจัดเก็บให้เป็นระเบียบจะช่วยลดโอกาสในการใช้สิ่งของร่วมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแผล
หากคุณมีเริมที่ปากหรืออวัยวะเพศ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยตรง และไม่ควรใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นในช่วงที่มีอาการ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
การดูแลตัวเองหากคุณติดเชื้อเริม
หากคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเริม การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้กับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้:
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล: หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลหรือการเกาตุ่มน้ำ เพราะไวรัสจะสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสของเหลวจากแผล
ล้างมือบ่อยๆ: ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังจากสัมผัสกับแผล หรือหลังจากทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ใช้ยาต้านไวรัสตามคำแนะนำของแพทย์: การใช้ยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ หรือ วาลาไซโคลเวียร์ ตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยลดระยะเวลาของการติดเชื้อ และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น
สรุป
ไวรัสเริมเป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง แต่ยังสามารถแพร่เชื้อผ่านการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกันได้ เช่น แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว หรือเครื่องสำอาง การหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น การทำความสะอาดสิ่งของเป็นประจำ และการดูแลสุขอนามัยเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสนี้
หากคุณเป็นเริม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพและป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องตัวเองและคนรอบข้างจากการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
Comments