top of page

เริมกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ: สิ่งที่ควรรู้



โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางปาก ทางทวารหนัก หรือทางช่องคลอด โรคเหล่านี้มีหลากหลายชนิด ซึ่งบางโรคสามารถรักษาได้ง่าย แต่บางโรค เช่น เริม (Herpes) อาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เริมเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย และมักเป็นที่เข้าใจผิดว่าไม่อันตราย แต่ในความเป็นจริงเริมอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับเริมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่พบได้บ่อย พร้อมทั้งวิธีการป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองให้ปลอดภัยจากโรคเหล่านี้

ทำความรู้จักกับเริม

เริม (Herpes) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิดหลัก คือ:

  • HSV-1: เป็นไวรัสที่มักทำให้เกิดเริมที่ปาก (Cold sores) หรือแผลริมฝีปาก ไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการจูบ การสัมผัสโดยตรง หรือการใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำหรือช้อนส้อม

  • HSV-2: เป็นไวรัสที่มักทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ (Genital herpes) ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก

อาการของเริม มักปรากฏเป็นตุ่มน้ำเล็กๆ ที่แตกออกเป็นแผล ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บปวด บริเวณที่พบได้บ่อยที่สุดคือปากและอวัยวะเพศ แม้ว่าเริมจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาด้วยยาต้านไวรัสสามารถช่วยบรรเทาอาการ ลดความถี่ของการกลับมาเป็นซ้ำ และลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

สาเหตุและการแพร่กระจายของเริม

ไวรัส HSV สามารถแพร่กระจายได้อย่างง่ายดายผ่านการสัมผัสโดยตรง เช่น การจูบ การมีเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสกับแผลที่มีการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อได้แม้ไม่มีอาการหรือตุ่มน้ำที่ปรากฏ เนื่องจากไวรัสยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถแพร่กระจายได้แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการ

ปัจจัยที่อาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อเริม ได้แก่:

  • การมีคู่นอนหลายคน

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

  • การสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่พบบ่อย

นอกจากเริมแล้ว ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่พบบ่อยและควรรู้จักเพื่อตระหนักถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อและการป้องกันโรค:

1. หนองในแท้ (Gonorrhea)

หนองในแท้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae โรคนี้สามารถติดเชื้อได้ทั้งทางปาก ทางช่องคลอด และทางทวารหนัก โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • อาการปวดขณะปัสสาวะ

  • หนองสีเหลืองหรือเขียวจากอวัยวะเพศ

  • อาการปวดในช่องท้องหรือตามอวัยวะเพศ

การรักษาหนองในแท้ทำได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การติดเชื้อในอวัยวะสืบพันธุ์ การเป็นหมัน หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด

2. หนองในเทียม (Chlamydia)

หนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis โรคนี้สามารถติดเชื้อได้ทางเพศสัมพันธ์และสามารถติดเชื้อในอวัยวะเพศ ทางปาก หรือทางทวารหนัก อาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้:

  • อาการปวดขณะปัสสาวะ

  • ตกขาวผิดปกติในผู้หญิง

  • อาการปวดในช่องท้องหรืออวัยวะเพศ

แม้ว่าโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การเป็นหมันในผู้หญิง และการติดเชื้อเรื้อรังในผู้ชาย

3. ซิฟิลิส (Syphilis)

ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย Treponema pallidum โรคนี้มีลักษณะการพัฒนาเป็นระยะ โดยในระยะแรก อาจมีแผลเปิดที่ไม่เจ็บปวดปรากฏขึ้นที่อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก หากไม่ได้รับการรักษา ซิฟิลิสอาจพัฒนาไปสู่ระยะที่รุนแรงมากขึ้นและทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง และระบบประสาท

ซิฟิลิสสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะในระยะแรกๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อสุขภาพในระยะยาว

4. หูดหงอนไก่ (Genital Warts)

หูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) โดยไวรัสชนิดนี้สามารถทำให้เกิดหูดเล็กๆ ที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก หูดเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบายหรือเจ็บ และบางครั้งอาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

แม้ว่าหูดหงอนไก่จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาด้วยยาทาภายนอกหรือการผ่าตัดสามารถช่วยลดหูดและบรรเทาอาการได้ นอกจากนี้ การฉีดวัคซีน HPV ยังสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้

5. ไวรัสเอชไอวี (HIV)

HIV เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ และอาจพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) การติดเชื้อ HIV สามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

แม้ว่าการรักษา HIV ยังไม่มีวิธีการรักษาที่หายขาด แต่การใช้ยาต้านไวรัส (ART) สามารถช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกายและป้องกันการแพร่กระจายได้

ความสัมพันธ์ระหว่างเริมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

เริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง HIV เนื่องจากเริมสามารถทำให้เกิดแผลเปิดที่ผิวหนังหรือเยื่อเมือก ซึ่งเป็นช่องทางให้ไวรัสและแบคทีเรียอื่นๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

ผู้ที่มีการติดเชื้อเริมและมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยมีโอกาสที่จะติดเชื้อ HIV สูงกว่าผู้ที่ไม่มีแผลจากเริม เนื่องจากแผลเปิดจากเริมทำให้ไวรัส HIV สามารถเข้าถึงกระแสเลือดได้ง่ายขึ้น

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคต่างๆ โดยวิธีการป้องกันที่สำคัญได้แก่:

1. การใช้ถุงยางอนามัย

การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมาก รวมถึงเริมด้วย ถึงแม้ว่าถุงยางอนามัยจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อเริมได้ 100% เนื่องจากเริมสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสผิวหนังที่ไม่ได้ถูกปกคลุมโดยถุงยาง แต่ก็ยังช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก

2. การฉีดวัคซีน HPV

การฉีดวัคซีน HPV เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่และมะเร็งปากมดลูก วัคซีนนี้แนะนำให้ฉีดในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นก่อนที่จะมีการติดเชื้อ HPV

3. การตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ

การตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจสอบสถานะสุขภาพของคุณ หากมีการติดเชื้อ การรักษาที่รวดเร็วสามารถช่วยลดการแพร่กระจายของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

4. การหลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน

การมีคู่นอนหลายคนสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ การมีคู่นอนที่แน่นอนและมีการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคเหล่านี้

การตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การตรวจวินิจฉัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถทำได้ด้วยการตรวจร่างกาย การเก็บตัวอย่างจากแผล การตรวจเลือด หรือการตรวจปัสสาวะ โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการตรวจที่เหมาะสมตามอาการและความเสี่ยงของผู้ป่วย

หากพบว่ามีการติดเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส ยกเว้นโรคที่เกิดจากไวรัสบางชนิด เช่น เริมและ HIV ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การใช้ยาจะช่วยลดอาการและป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส

สรุป

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส หูดหงอนไก่ และ HIV เป็นโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศและสุขภาพทั่วไป การรู้จักและตระหนักถึงความเสี่ยง รวมถึงการป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัย การฉีดวัคซีน HPV และการตรวจสุขภาพเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญในการลดโอกาสในการติดเชื้อและการแพร่กระจายของโรค

หากคุณมีอาการที่สงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ตุ่มน้ำ แผลที่อวัยวะเพศ หรืออาการปวดขณะปัสสาวะ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้อง

Comments


bottom of page