top of page

วิธีการตรวจหาเริมและการปฏิบัติตัวหลังทราบผลตรวจ



เริม (Herpes) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิดหลักคือ HSV-1 และ HSV-2 เชื้อไวรัสทั้งสองชนิดนี้สามารถทำให้เกิดตุ่มน้ำหรือแผลพุพองที่ผิวหนัง ปาก หรืออวัยวะเพศ การติดเชื้อเริมเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและสามารถเกิดได้กับคนทุกวัย แต่เนื่องจากเริมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การตรวจหาเริมและการปฏิบัติตัวหลังจากทราบผลตรวจจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมโรคและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อให้กับผู้อื่น

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับวิธีการตรวจหาเริม ขั้นตอนในการตรวจ และการปฏิบัติตัวหลังจากทราบผลตรวจ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย


เริมคืออะไร?


เริมเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) โดยเชื้อไวรัส HSV มีสองชนิดหลัก ได้แก่:


  • HSV-1: เป็นไวรัสที่มักทำให้เกิดเริมที่ปาก (Cold sores) หรือแผลพุพองรอบปาก ตุ่มน้ำที่ปากนี้สามารถติดเชื้อได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง เช่น การจูบหรือการใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำหรือแปรงสีฟัน

  • HSV-2: เป็นไวรัสที่มักทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ (Genital herpes) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อ HSV-2 มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน


ทั้งนี้ แม้ว่า HSV-1 และ HSV-2 มักจะมีลักษณะการติดเชื้อที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองชนิดสามารถแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้ เช่น HSV-1 สามารถแพร่ไปยังอวัยวะเพศผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก และ HSV-2 สามารถติดเชื้อที่ปากได้เช่นกัน


อาการของโรคเริม


อาการของเริมจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่ติดเชื้อและระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละคน อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ตุ่มน้ำใส: เกิดตุ่มน้ำเล็กๆ ที่มีของเหลวใสอยู่ภายใน ซึ่งเมื่อแตกออกจะกลายเป็นแผลที่มีความเจ็บปวด

  • แผลพุพอง: หลังจากตุ่มน้ำแตก แผลพุพองจะเกิดขึ้นบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น ปาก อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก แผลเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 2-4 สัปดาห์

  • อาการแสบร้อนและปวด: ผู้ป่วยอาจรู้สึกแสบร้อน คัน หรือปวดบริเวณที่มีการติดเชื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นก่อนที่ตุ่มน้ำหรือแผลจะปรากฏ

  • อาการคล้ายไข้หวัด: ผู้ที่ติดเชื้อเริมครั้งแรกอาจมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตัว หรือปวดศีรษะร่วมด้วย

แม้ว่าเริมจะสามารถหายไปเองได้ แต่เชื้อไวรัสจะยังคงอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต และอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ในภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อร่างกายมีภาวะที่กระตุ้นให้เชื้อไวรัสทำงาน เช่น ความเครียด การเจ็บป่วย หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ


วิธีการตรวจหาเริม


การตรวจหาเริมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีการติดเชื้อแต่ไม่มีอาการชัดเจนหรือมีอาการที่คล้ายกับโรคผิวหนังอื่นๆ วิธีการตรวจหาเริมที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่:


1. การเก็บตัวอย่างจากแผล (Swab Test)

การเก็บตัวอย่างจากแผลหรือ Swab Test เป็นวิธีการตรวจที่แม่นยำและนิยมใช้มากที่สุดในการตรวจหาเริม โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีแผลหรือมีตุ่มน้ำที่สงสัยว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อเริม

  • ขั้นตอนการตรวจ: แพทย์จะใช้ก้านสำลีเก็บตัวอย่างจากของเหลวในตุ่มน้ำหรือจากบริเวณแผลที่พุพอง ตัวอย่างที่เก็บได้จะถูกส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อทำการวิเคราะห์หาเชื้อไวรัส HSV

  • ความแม่นยำ: การตรวจด้วยวิธีนี้มีความแม่นยำสูงที่สุดเมื่อเก็บตัวอย่างจากตุ่มน้ำหรือแผลที่เพิ่งเกิดใหม่ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก เนื่องจากเชื้อไวรัสยังคงมีปริมาณสูงในช่วงนี้


2. การตรวจเลือด (Blood Test)

การตรวจเลือดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อเริม โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีแผลหรืออาการที่ชัดเจน การตรวจเลือดสามารถตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส HSV ได้

  • ขั้นตอนการตรวจ: แพทย์จะเก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยเพื่อนำไปตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HSV-1 และ HSV-2 การตรวจนี้สามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยเคยติดเชื้อไวรัสเริมชนิดใดบ้างในอดีต แม้ว่าจะไม่มีอาการในขณะนั้น

  • ความแม่นยำ: การตรวจเลือดสามารถให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำในการตรวจหาการติดเชื้อในอดีต แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าการติดเชื้อที่ตรวจพบนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือว่ามีอาการติดเชื้ออยู่ในปัจจุบันหรือไม่

3. การตรวจแบบ PCR (Polymerase Chain Reaction)

การตรวจแบบ PCR เป็นเทคนิคที่ใช้ในการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส HSV วิธีนี้มีความแม่นยำสูงและสามารถตรวจหาเชื้อไวรัสได้แม้ในปริมาณน้อย

  • ขั้นตอนการตรวจ: แพทย์จะเก็บตัวอย่างจากแผลหรือตุ่มน้ำเพื่อทำการตรวจหา DNA ของไวรัสในห้องปฏิบัติการ การตรวจแบบ PCR สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสทั้ง HSV-1 และ HSV-2 ได้อย่างแม่นยำ

  • ความแม่นยำ: การตรวจ PCR เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงมากในการตรวจหาเชื้อไวรัสเริม และสามารถใช้ตรวจผู้ที่มีอาการหรือผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อแต่ไม่มีอาการชัดเจนได้

4. การตรวจทางน้ำเหลือง (Pap Smear สำหรับผู้หญิง)

ในบางกรณี การตรวจทางน้ำเหลือง เช่น Pap Smear ในผู้หญิงอาจใช้เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสเริมที่ติดเชื้อในปากมดลูก การตรวจนี้มักใช้ในผู้หญิงที่มีการติดเชื้อเริมซ้ำบ่อยครั้งหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ


การปฏิบัติตัวหลังทราบผลตรวจเริม

หลังจากที่คุณได้รับผลการตรวจเริม ไม่ว่าจะเป็นผลบวกหรือผลลบ สิ่งที่สำคัญคือการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมเพื่อดูแลสุขภาพของตนเองและป้องกันการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการปฏิบัติตัวหลังจากทราบผลตรวจเริม:


1. หากผลตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อเริม)

หากผลตรวจของคุณออกมาเป็นบวก หมายความว่าคุณติดเชื้อไวรัส HSV คำแนะนำในการปฏิบัติตัวมีดังนี้:

  • รับการรักษาทันที: แม้ว่าจะไม่มีวิธีการรักษาที่สามารถกำจัดเชื้อเริมได้ แต่แพทย์จะสั่งจ่าย ยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir), วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) หรือ แฟมซิโคลเวียร์ (Famciclovir) ยาเหล่านี้สามารถช่วยลดระยะเวลาที่มีอาการ บรรเทาความเจ็บปวด และลดโอกาสในการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น

  • ป้องกันการแพร่เชื้อ: ในช่วงที่มีอาการ เช่น ตุ่มน้ำหรือแผลพุพอง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น เช่น การจูบ หรือการมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ แม้ว่าจะไม่มีอาการก็ตาม เนื่องจากไวรัส HSV สามารถแพร่กระจายได้แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการ

  • ดูแลสุขภาพทั่วไป: การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการจัดการความเครียดสามารถช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และลดโอกาสในการกลับมาเป็นซ้ำของโรค

  • แจ้งคู่นอนเกี่ยวกับสถานะสุขภาพของคุณ: การแจ้งคู่นอนเกี่ยวกับการติดเชื้อเริมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้พวกเขาทราบสถานะสุขภาพของคุณและสามารถตัดสินใจในการป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม


2. หากผลตรวจเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อเริม)

หากผลตรวจของคุณออกมาเป็นลบ หมายความว่าคุณไม่มีการติดเชื้อไวรัส HSV ณ ขณะนั้น แต่ก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพทางเพศต่อไป คำแนะนำมีดังนี้:

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์: การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงเริม ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก

  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ: หากคุณมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน ควรตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำทุก 6-12 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อและรักษาสุขภาพทางเพศของคุณ

  • สื่อสารกับคู่นอนเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ: การสื่อสารเรื่องสุขภาพทางเพศกับคู่นอนเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานะสุขภาพของแต่ละคนและตกลงในการใช้วิธีการป้องกันที่เหมาะสม


สรุป


การตรวจหาเริม เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณทราบสถานะสุขภาพของตัวเองและสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม การตรวจสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น การเก็บตัวอย่างจากแผล การตรวจเลือด หรือการตรวจด้วยวิธี PCR หลังจากทราบผลตรวจแล้ว ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส หรือการป้องกันการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น

หากคุณมีผลตรวจเป็นบวก ควรแจ้งคู่นอนเกี่ยวกับสถานะสุขภาพของคุณ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ หากคุณมีผลตรวจเป็นลบ การดูแลสุขภาพทางเพศอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้ถุงยางอนามัยและการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อในอนาคต

Comments


bottom of page