top of page

ตรวจและรักษาโรคหนองใน: หนองในแท้และหนองในเทียม ความแตกต่างและการดูแลรักษา



โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ หนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia) ทั้งสองประเภทมีลักษณะอาการที่คล้ายคลึงกัน แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่แตกต่างกัน โดยหนองในแท้เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ส่วนหนองในเทียมเกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis การทำความเข้าใจเกี่ยวกับทั้งสองโรคนี้จะช่วยให้สามารถป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนองในแท้ (Gonorrhea)

สาเหตุของโรคหนองในแท้

หนองในแท้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก การติดเชื้อนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

อาการของหนองในแท้

อาการในผู้ชาย

  • ปัสสาวะแสบขัด: เป็นอาการแรก ๆ ที่พบได้บ่อย

  • มีหนองออกจากปลายอวัยวะเพศ: สีเหลืองหรือเขียว

  • อาการเจ็บหรือบวมที่อัณฑะ

อาการในผู้หญิง

  • ตกขาวผิดปกติ: มีลักษณะหนองสีเหลืองหรือเขียว

  • ปวดท้องน้อย: อาจรู้สึกเจ็บในบริเวณช่องท้องล่าง

  • ปัสสาวะแสบขัด: เช่นเดียวกับอาการในผู้ชาย

การวินิจฉัยโรคหนองในแท้

การตรวจวินิจฉัยโรคหนองในแท้สามารถทำได้โดยการเก็บตัวอย่างปัสสาวะหรือน้ำหนองจากบริเวณที่สงสัยว่าติดเชื้อ เช่น ช่องคลอด ปลายอวัยวะเพศชาย ทวารหนัก หรือคอหอย โดยใช้เทคนิคการตรวจที่มีความแม่นยำสูง เช่น NAAT (Nucleic Acid Amplification Test)

การรักษาโรคหนองในแท้

การรักษาโรคหนองในแท้สามารถทำได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น

  • เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone): ยาฉีดที่นิยมใช้ในการกำจัดเชื้อหนองในแท้

  • อะซิโทรมัยซิน (Azithromycin): ใช้ในบางกรณีที่มีการติดเชื้อร่วมกับหนองในเทียม

หนองในเทียม (Chlamydia)

สาเหตุของโรคหนองในเทียม

หนองในเทียมเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซึ่งสามารถแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปากได้เช่นเดียวกับหนองในแท้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการ ทำให้มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว

อาการของหนองในเทียม

อาการในผู้ชาย

  • ปัสสาวะแสบขัด: คล้ายกับหนองในแท้

  • มีสารคัดหลั่งใสออกจากปลายอวัยวะเพศ

  • อัณฑะบวมและเจ็บ

อาการในผู้หญิง

  • ตกขาวผิดปกติ: ไม่มีสีหรือมีกลิ่นเหม็น

  • ปวดท้องน้อย: เจ็บบริเวณช่องท้องล่างหรือหลัง

  • เลือดออกระหว่างรอบเดือน

การวินิจฉัยโรคหนองในเทียม

สามารถวินิจฉัยได้โดยการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ หรือตัวอย่างจากบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น ปากมดลูก ทวารหนัก หรือคอหอย โดยใช้เทคนิค NAAT เช่นเดียวกับหนองในแท้

การรักษาโรคหนองในเทียม

การรักษาโรคหนองในเทียมมักใช้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน เช่น

  • อะซิโทรมัยซิน (Azithromycin): ยากินขนาดเดียวที่ได้ผลดี

  • ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline): ต้องกินต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน

ความแตกต่างระหว่างหนองในแท้และหนองในเทียม

ลักษณะ

หนองในแท้ (Gonorrhea)

หนองในเทียม (Chlamydia)

เชื้อก่อโรค

Neisseria gonorrhoeae

Chlamydia trachomatis

อาการหลัก

ปัสสาวะแสบขัด, หนองไหล

ปัสสาวะแสบขัด, สารคัดหลั่งใส

ความรุนแรง

อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

ส่วนใหญ่ไม่มีอาการชัดเจน

การรักษา

ยาฉีดหรือยากิน

ยากิน เช่น อะซิโทรมัยซิน

การป้องกันโรคหนองในแท้และหนองในเทียม

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง: ถุงยางอนามัยช่วยลดโอกาสติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ: เพื่อให้สามารถตรวจพบโรคได้แต่เนิ่น ๆ และป้องกันการแพร่เชื้อ

  • มีคู่นอนที่ปลอดภัย: การมีคู่นอนประจำที่ได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีอาการผิดปกติ: หากคู่นอนมีอาการควรหลีกเลี่ยงและแนะนำให้ไปพบแพทย์

สรุป

ทั้งหนองในแท้และหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถป้องกันและรักษาได้ การรู้จักอาการ การตรวจวินิจฉัย และการรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน การใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเหล่านี้

Comments


bottom of page